พบผู้ป่วยฝีดาษวานรรายที่ 2 ของไทยในกรุงเทพฯ
ในตอนนี้นอกจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่ต้องเฝ้าระวังแล้ว ตอนนี้คนไทยต้องดูแลตัวเองให้เข้มข้นมากกว่าเดิม เพราะก่อนหน้านี้พบผู้ป่วยฝีดาษลิงในไทยรายแรกเป็นชายไนจีเรียวัย 27 ปี (เดินทางมาท่องเที่ยวและพักอยู่ในจังหวัดภูเก็ต) และล่าสุด 28 ก.ค. 65 กระทรวงสาธารณสุขยืนยันพบผู้ป่วยฝีดาษลิงรายที่ 2 เป็นชายไทยวัย 47 ปี พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร โดยมีประวัติมีเพศสัมพันธ์กับชาวต่างชาติแบบรักร่วมเพศ
โดยเริ่มแสดงอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 65 จากนั้นเริ่มมีไข้ ปวดเมื่อตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต และถัดมา 1 สัปดาห์เริ่มมีผื่นขึ้นที่อวัยวะเพศ ลำตัว หน้า แขน และขา จึงเดินทางเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ขณะนี้ทำการพักรักษาตัวอยู่และทางโรงพยาบาลได้มีการติดตามผู้สัมผัสสูงมาตรวจและเฝ้าสังเกตอาการต่อให้ครบ 21 วัน ด้วยจำนวนการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้หลายคนสงสัยว่าฝีดาษลิงคืออะไร ติดต่อทางไหน และมีวิธิรักษาโรคฝีดาษลิงหรือไม่ วันนี้ Promotions.co.th รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากทุกคน
ฝีดาษลิง โรคระบาดใหม่ในไทยที่ไม่ควรมองข้าม
ไข้ทรพิษลิง ฝีดาษวานร หรือโรคฝีดาษลิงหรือภาษาอังกฤษ Monkeypox เกิดจากไวรัส Othopoxvirus ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้อไวรัสโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ (Smallpox) มักพบได้ในสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระแต กระรอก กระต่าย ฯลฯ โดยพบในคนครั้งแรกเมื่อปี 1970 ประเทศคองโกที่ได้รับเชื้อมาโดยบังเอิญ จึงกลายเป็นที่มาของชื่อโรค ‘ฝีดาษลิง’ และส่วนใหญ่แล้วโรคฝีดาษลิงจะแพร่ระบาดอยู่ทั่วไปในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ทำให้ขณะนี้กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic disease) ไปแล้ว
โรคฝีดาษลิงพบอัตราการเสียชีวิตประมาณ 1 – 10% ทั้งนี้สาเหตุของการเสียชีวิตขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ติดเชื้อ โดยสายพันธุ์หลักของโรคฝีดาษลิงแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ ดังนี้
- สายพันธุ์แอฟริกากลาง (Congo Basin) มีความรุนแรงมาก พบอัตราการเสียชีวิตมากถึง 10%
- สายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก (West African) รุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์แรก เป็นสายพันธุ์โรคฝีดาษลิงที่แพร่ระบาดในไทย ณ ตอนนี้ พบอัตราการเสียชีวิต 1%
การติดต่อของโรคฝีดาษลิงที่ต้องระวัง
การติดต่อจากสัตว์สู่คน
- สัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อฝีดาษลิง
- ถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัด หรือข่วน
- กินเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อ และไม่ผ่านการปรุงสุก
การติดต่อจากคนสู่คน
- สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่ง
- สัมผัสผิวหนังที่เป็นตุ่ม
- ลองอองฝอยจากการหายใจ
หลังได้รับเชื้อฝีดาษลิงจะมีระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 7 – 21 วัน (ช่วงเวลาตั้งแต่ติดเชื้อจนถึงเริ่มแสดงอาการ) โดยอาการที่เด่นชัด คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวโดยเฉพาะลำตัวและหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต และมีผื่นตุ่มหนองขึ้น สำหรับอาการติดเชื้อแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
ระยะก่อนผื่นขึ้น ในช่วง 0 – 5 วัน
- มีไข้
- ปวดศีรษะมากผิดปกติ
- ต่อมน้ำเหลืองโต (เป็นลักษณะเด่นของโรคฝีดาษลิง)
- ปวดหลัง
- อ่อนเพลีย
ระยะออกผื่น อาจเริ่มได้ใน 1 – 3 วันหลังเป็นไข้
- มีตุ่มขึ้นหนาแน่นบนใบหน้าและแขนขา มากกว่าช่วงลำตัว
- ผื่นมีขนาดประมาณ 2 – 10 มิลลิเมตรในช่วง 2 – 4 สัปดาห์ต่อมา
- ตุ่มสามารถขึ้นได้ทั่วทั้งร่างกาย เช่น ใบหน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เยื่อบุช่องปาก อวัยวะเพศ เยื่อบุตา และกระจกตาอาจได้รับผลกระทบ
ซึ่งลักษณะของผื่นของโรคฝีดาษลิงจะเริ่มต้นจากผื่นแดงทั่วไป จากนั้นค่อย ๆ กลายเป็นตุ่มน้ำใส เกิดตุ่มหนองขนาดเล็กและตุ่มหนองมีรอยบุ๋มอยู่ตรงกลาง เมื่อตุ่มหนองแตกและแห้งจะเป็นแผลสะเก็ดที่หลุดลอกได้บางส่วน ในระยะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดีขึ้นและหมดระยะในการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น ส่วนความอันตรายของภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง คือ หากเข้าตาอาจทำให้ตาอักเสบจนตามืดบอดได้ สมองอักเสบ หรือปอดอักเสบ เป็นต้น
วิธีรักษาและวิธีป้องกันโรคฝีดาษลิง
ปัจจุบันยังไม่มียามาตรฐานเฉพาะเจาะจงสำหรับการรักษาโรคฝีดาษลิง แต่ทั้งนี้มียามาใช้สำหรับการรักษาตามอาการเพื่อบรรเทาอาการ และควบคุมการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น Tecovirimat, Cidofovir และ Brincidofovir นอกจากนี้ยังมีการผลิตวัคซีนฝีดาษลิง ACAM2000, Jynneos และ Ankara ที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการให้วัคซีนไข้ทรพิษ ในส่วนของวิธีป้องกันโรคฝีดาษลิง มีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่วย สัตว์ที่เป็นพาหะโดยเฉพาะลิงและสัตว์ฟันแทะ
- หมั่นล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ หลังสัมผัสกับสัตว์หรือสิ่งของสาธารณะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง บาดแผล เลือด และน้ำเหลืองของสัตว์
- ออกห่างจากผู้ติดเชื้อ ผู้ที่สงสัยเสี่ยงติดเชื้อ หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วย
- ไม่นำมือไปสัมผัสผื่น ตุ่ม หนอง หรือสารคัดหลั่งของผู้เสี่ยงติดเชื้อ
- สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่
- หากสงสัยว่าตัวเองหรือคนในบ้านติดเชื้อ ต้องทำการแยกผู้เสี่ยงติดเชื้อออกจากผู้อื่นเป็นเวลา 21 – 28 วัน จนกว่าแผลจะตกสะเก็ด
- รับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกเท่านั้น
ทั้งนี้ หากรู้ตัวว่าสัมผัสกับผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงสามารถติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อตรวจหาเชื้อได้ นอกจากนี้ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC แนะนำให้เข้ารับวัคซีนภายใน 4 วันหลังสัมผัสเพื่อป้องกันการติดโรค และฉีดวัคซีนภายใน 14 วันเพื่อลดความรุนแรงจากอาการป่วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : PPTVHD36 / โรงพยาบาลศิครินทร์ / โรงพยาบาลวิชัยเวช