Loading

วันนี้ผมจะมาอธิบายเกี่ยวกับ Hard disk จากทาง WD (Western Digital) ว่าทำไมถึงได้แบ่ง Hard disk ออกเป็นสีต่างๆ และแต่ละสีนั้น เหมาะสำหรับงานประเภทไหนกันแน่ ?

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ WD กันก่อนครับ เวสเทิร์นดิจิตอล (Western Digital) หรือที่เรียกกันแบบย่อๆว่า WD คือบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในฐานะผู้ผลิตวงจรรวมและผลิตภัณฑ์อุปกรณ์บันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือฮาร์ดดิสก์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีพื้นที่บริการครอบคลุมทั่วโลก

ซึ่งบริษัท เวสเทิร์นดิจิตอล จะมีจุดเด่นในเรื่องของการผลิตฮาร์ดดิสที่มีการทำงานเฉพาะด้าน แตกต่างกันออกไป ตามสีที่กำหนดอีกด้วย โดยทาง WD จะแบ่ง Hard disk ออกเป็นสีต่างๆ ได้แก่ WD Black(สีดำ) ,WD Blue(สีน้ำเงิน) ,WD Purple(สีม่วง), WD Red(สีแดง) ,WD Gold(สีทอง) และสีที่ได้ยกเลิกการผลิตไปแล้วคือ WD Green(สีเขียว)

HDD WD แต่ละสี เหมาะสำหรับอะไร

ทีนี้เรามาดูกันครับว่าแต่ละสี เหมาะสำหรับอะไร

สีต่างๆ

สีดำ

WD Black (สีดำ) เป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถนำมาใช้กับเครื่อง Server หรือ PC ก็ได้เช่นกัน ฮาร์ดดิสก์ตัวนี้ได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานในระดับสูง มี Dynamic Cache ที่ช่วยจัดสรรค์การทำงานระหว่างการอ่าน – เขียนข้อมูล เพื่อให้มีความเหมาะสมที่สุด Buffer Cache 64 – 256MB (ขึ้นอยู่กับขนาดความจุ) และมีการรับประกันอยู่ที่ 5 ปี

HDD WD แต่ละสี

สีน้ำเงิน

WD Blue (สีน้ำเงิน) ตัวนี้ได้ออกแบบมาสำหรับใช้งานกับ PC ทั่วไป ที่จะเน้นในเรื่องของความคุ้มค่า คุ้มราคา ประหยัดพลังงาน อาจจะไม่ได้มีประสิทธิภาพความเร็วมากที่สุด โดยจะมีจานแม่เหล็กทำงานด้วยความเร็วรอบที่ 5400 – 7200rpm มี Buffer Cache 32 – 64MB และภายในมีความจุตั้งแต่ 250GB ไปจนถึง 6TB การรับประกันอยู่ที่ 3 ปีกันเลย

สีดำ black

สีม่วง

WD Purple (สีม่วง) สำหรับฮาร์ดดิสก์รุ่นนี้ จะออกแบบมาให้ใช้งานกับระบบกล้องวงจรปิดโดยเฉพาะ รุ่นนี้จะมาพร้อมเทคโนโลยี All Frame ที่ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับตัวข้อมูลวิดิโอ และยังสามารถใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติได้อีกด้วย WD Purple แบ่งออกเป็น 2 Series ด้วยกัน คือตัว WD Purple Pro จะเหมาะสำหรับใช้งานกับกล้องวงจรปิดที่มีจำนวนไม่เกิน 32 ตัว และ WD Red NV ออกแบบมาสำหรับใช้งานกับกล้องวงจรปิดที่มีจำนวนมากกว่า WD Red ธรรมดาถึง 2 เท่า และระยะเวลารับประกันอยู่ที่ 3 ปี

blue น้ำเงิน

สีแดง

WD Red (สีแดง) ฮาร์ดดิสก์ตัวนี้ ได้รับการออกแบบมาให้สำหรับเก็บข้อมูลสำรอง สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะใช้งานร่วมกับ NAS หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับสำนักงานขนาดเล็ก หรือใช้งานตามบ้านเรือนทั่วไป ซึ่งยังจะมีให้เลือกใช้กันถึง 2 Series ด้วยกัน โดยจะแบบเป็น WD Red และ WD Red Pro

อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ตัวธรรมดาจะใช้งานกับสำนักงานขนาดเล็ก ไม่หนักมาก ใช้กับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ในช่วง 1-8 Bay ส่วน WD Red Pro นั้นจะเน้นสำหรับผู้ที่ใช้งานหนัก ที่มีการเข้าถึงข้อมูลตลอดเวลา เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลางขึ้นไป สำหรับการรับประกันนั้นตัว WD Red จะรับประกัน 3 ปี และWD Red Pro จะรับประกันอยู่ที่ 5 ปี

ต่างกันยังไง

สีทอง

WD Data Center Gold (สีทอง) สำหรับรุ่นนี้นั้น จะได้รับการออกแบบมาพิเศษ เพื่อใช้งานด้านการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Data Center โดยเฉพาะ ซึ่งจะเหมาะสำหรับการเข้าถึงข้อมูลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในแบบ 24/7 (24 ชั่วโมง / 7 วัน) และต้องการความเสถียรภาพสูงสุดในการทำงาน และรุ่นนี้จะมีการรับประกันอยู่ที่ 5 ปีเต็ม

ใช้กับอะไร

สีเขียว

WD Green (สีเขียว) รุ่นนี้ออกแบบมาให้ใช้งานทั่วๆไป ส่วนใหญ่จะใช้งานตามคอมพิวเตอร์ตามบ้านเรือนทั่วไป มีการปรับในเรื่องของความร้อนของตัวฮาร์ดดิสก์ลง และตัวฮาร์ดดิสก์จะปรับการทำงานให้เหมาะสมกับกับการทำงานต่างๆ ซึ่งรุ่นนี้จะเหมือนกับ WD Blue และตัวนี้จะรับประกันอยู่ที่ 3 ปี

สรุปกันคร่าวๆ โดยจะแยกเป็นสีๆให้เข้าใจกันง่ายๆ นะครับ

  • WD Black สีดำ ตัวนี้เป็นฮาร์ดดิสก์ที่ได้รับการออกแบบมาให้มีความทานสูง ใช้กับเครื่อง Server ที่ทำงานหนักๆ ได้
  • WD Glod สีทอง ตัวนี้จะออกแบบมาสำหรับใช้กับ Data Center โดยตรง ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานได้ตลอดเวลา
  • WD Red สีแดง จะได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานสำหรับ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล NAS หรือทำ Raid ต่างๆนั่นเอง
  • WD Purple สีม่วง สำหรับสีตัวนี้จะเหมาะสำหรับงานด้านกล้องวงจรปิดโดยเฉพาะ
  • WD Blue / WD Green จะอยู่ในกลุ่มการใช้งานทั่วไป โดยจะได้รับการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในเครื่อง PC ตามบ้านเรือนนั่นเอง

การทำงานหรือการใช้งานที่เหมาะสมนั้น จะทำให้ยืดอายุการใช้งานของฮาร์ดดิสได้ยาวนานมากขึ้น ทั้งนี้หากต้องการหาซื้อมาใช้ ควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการทำงานจะดีที่สุด เพราะฮาร์ดดิสก์แต่ละแบบนั้น ออกแบบมาให้ทนต่อการใช้งานที่แตกต่างกัน