มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยต้องเผชิญความยากลำบากและการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยลดลง 9% โดยเฉพาะเซ็กเมนต์รถกระบะที่ลดลงถึง 32% ในขณะที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน ได้เข้าสู่ตลาด และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ถึง 11% ซึ่งภายใต้ส่วนแบ่งตลาดดังกล่าว สัดส่วนการขายของรถยนต์ ไฟฟ้า (BEV) เติบโตขึ้นจาก 1% เป็น 10%
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว โตโยต้ายังคงมีรถหลายรุ่น ได้แก่ คัมรี ฟอร์จูนเนอร์ เวลอซ และไฮเอซ ที่เป็นผู้นำในเซ็กเมนต์ต่างๆ นอกจากนั้นยาริสและเอทีฟก็สามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในเซ็กเมนต์อีโคคาร์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 45% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา สำหรับเซกเมนต์รถอเนกประสงค์ SUV โตโยต้ากลับมาครองยอดขายสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาหลังจากการแนะนำยาริส ครอส รวมถึงรถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% เป็นสัดส่วนที่สูงสุดนับตั้งแต่ พ.ศ.2554 เป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของโตโยต้าอยู่ที่ 34.3% สูงที่สุดนับตั้งแต่ พ.ศ.2558 และสูงกว่า พ.ศ.2565 ที่ 0.3%
ทั้งนี้ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โตโยต้ายังคงมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งความหลากหลายของลูกค้า การใช้งาน ข้อจำกัดในแต่ละภูมิประเทศ อาทิ โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน สภาพถนน ข้อจำกัดทางด้านพลังงาน เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โตโยต้ามีความต้องการที่จะมุ่ง เติมเต็มชีวิตของผู้คน และนำมาซึ่งรอยยิ้มของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เราจึงเลือกกลยุทธ์ Multiple Path way ตามปรัชญา “Mobility for All” โดยที่จะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (No One leaves behind)
โดยในปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ไทยได้เติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฮบริด (HEV) ก็เติบโตขึ้น และยังกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้าชาวไทย สำหรับประเภทรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ด้วยเหตุผลที่สามารถใช้งานได้จริงอย่างเหมาะสม ลูกค้ามีความอุ่นใจขณะใช้งาน และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ รวมไปถึงมีมูลค่าในการขายต่อที่ดี โดยในปีที่แล้ว ส่วนแบ่งตลาดของรถไฮบริด อยู่ที่ มากกว่า 12% และในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 17%
อีกหนึ่งกระแสสำคัญในประเทศไทย คือ ความนิยมในรถยนต์ประเภท SUV โดยในปีที่แล้วนั้น ส่วนแบ่งตลาดของ SUV เพิ่มขึ้นที่ 38% แม้ว่าตลาดรถยนต์รวมจะหดตัวลง 9% ทั้งนี้ เนื่องมาจากประโยชน์ใช้สอยของรถ SUV เอง ที่สามารถตอบสนองรูปแบบการใช้งานอันหลากหลาย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันในรูปแบบคนเมือง จนถึงการออกไปใช้ชีวิตแบบผจญภัยในช่วงวันหยุด
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อความสำเร็จ ในประเทศไทยต่อไป และนำรอยยิ้มของลูกค้าชาวไทยมาให้มากขึ้น และนี่คือการเปิดตัวรอบเวิลด์พรีเมียร์ (World Premiere) หรือการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย สำหรับรถโตโยต้า โคโรลล่า ครอส ใหม่ (Corolla Cross) ที่ได้รับการอัปเกรด เพื่อมอบความพรีเมียม เหนือระดับ ด้วยการออกแบบภายนอกที่ล้ำสมัยและได้มาตรฐานของสเปกที่ต้องการ”
โดยโตโยต้า โคโรลล่า ครอส รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2567 มีการปรับเปลี่ยนยกระดับดีไซน์ทั้งภายนอกและภายใน ปรับปรุงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และยังรักษาจุดเด่นของตัวรถด้านประสิทธิภาพการขับขี่ และความประหยัดน้ำมันเอาไว้
ด้านนายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแผนการตลาดว่าโตโยต้า โคโรลล่า ครอส ใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ ด้วยคอนเซปต์ “Complete your life ตอบ…ทุกความหมายชีวิต” วางเป้าขาย 1,500 คันต่อเดือน จะเริ่มส่งมอบตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.เป็นต้นไป โดยรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด เกียร์อัตโนมัติ รุ่น HEV GR- Sport 1,254,000 บาท, รุ่น HEV Premium Luxury 1,204,000 บาท และรุ่น HEV Premium 1,094,000 บาท ส่วนรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เกียร์อัตโนมัติ 1.8 Sport Plus ราคา 999,000 บาท.
ที่มา www.thairath.co.th